วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

สติ




อ่านไว้ใช่ว่าจะเสีย




แสดงสติและปัญญา ในขันธ์๕
แสดงการทำงานของ สติ และ ปัญญา ที่ทำหน้าที่ในกระบวนธรรมของขันธ์๕ เพื่อการดับทุกข์ โดยจะแยกแสดงให้เห็นการใช้สติและปัญญาในการปฏิบัติแบบเวทนานุปัสสนา(สติระลึกรู้เท่าทันเวทนา) และจิตตานุปัสสนา(สติระลึกรู้เท่าทันจิต,จิตสังขารเช่นความคิด) การปฏิบัติในชีวิตประจำวันนั้น เห็นธรรมใดก่อนก็ปฏิบัติธรรมนั้นเพราะต่างล้วนมีคุณประโยชน์ในการปฏิบัติ ขึ้นอยู่กับจริต ความชำนาญ ความเข้าใจของแต่บุคคล
คำว่า สติ คือ การระลึกรู้ ตัวเดียวสั้นๆ นี้แหละ เราเข้าใจง่ายๆ เช่นว่า เราระลึกรู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ นี้เรียกว่า มีสติ


สติ อันหมายถึงระลึกรู้ ทีนี้ การจะระลึกรู้
ก็นำไปสู่คำถามว่า เราจะระลึกรู้อะไรบ้าง พระศาสดาสอนว่า อย่างแรก คือ รู้กาย






เมื่อ เอาสติมารู้ตรงจุดหนึ่ง แต่ส่วนอื่นมันยังไม่สงบ สติที่เอาไปรู้ จึงไม่นิ่ง จึงรู้ตรงนั้นที รู้ตรงนี้ที แล้วแต่่ว่า จะระลึกรุ้ตรงไหนที่มันสะกิดใจมากกว่ากัน มันจึงกลายเป็น สติสตังไม่สมประกอบ





"สมาธิ" คือ กระบวนเพื่ออบรมบ่มใจให้ดำรงอยู่ในสภาวะอันสงบ สุกใส กว้างใหญ่ เบาสบาย เพื่อให้กลายเป็น “ความงาม” ของใจ ค่อยๆ ปฏิบัติ ค่อยๆ ทำกันไปวันละเล็กละน้อย เพราะใจคือสิ่งที่ถูกใช้สอยหนักที่สุดกว่าส่วนใดๆ ของร่างกาย การทำสมาธิจึงเป็นการ “พัก” ใจที่มักเหนื่อยล้ากว่าร่างกาย ให้กลับสดชื่นขึ้นได้ เพื่อชั่วโมงใหม่ เพื่อวันใหม่ที่ดีกว่าทุกอย่างล้วนเกิดจากใจ ความสุข หรือ ทุกข์ภัย ทั้งหลายมีต้นกำเนิดจากการกระทำของตน ทั้งที่จำได้ จำไม่ได้ ทั้งที่เคยทำมาแล้วในอดีต ในปัจจุบัน”
การขาตสติและปัญญา





มนุษย์เราต่างก็มีสติและปัญญาขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะนำมาใช้กับตัวของเราเองมากน้อยเพียงใด มีหลายคนที่ยังใช้อารมณ์ในการดำเนิดชีวิตและอีกหลายคนต่างก็ใช้เหตุผล และ มีอีกหลายคนเลือกที่จะใช้ความคิด สติ ปัญญา และใจ ในการดำรงชีวิต แล้วคุณล่ะเลือกอะไรให้กับชีวิต




หากผิดพลาดมาบ่อยครั้ง


หากพลาดพลั้งมาหลายหน


แต่ถ้าสู้ด้วยใจที่อดทน


จะข้ามพ้นอุปสรรคที่มากมาย


จงเรียนรู้สิ่งที่พลาดในอดีต


นำมาคิดตริตรองยังไม่สาย


ใช้มันเป็นครูสั่งสอนใจกาย


แล้วจะได้สิ่งที่หวังที่ตั้งใจ


หากความหวังยังอยู่คู่ฟ้า


อนาคตยังแรงกล้าแสงสดใส


สองเท้ายังคงก้าวย่างต่อไป


ความสำเร็จคงไม่ไกลเกินฝ่าฟัน


ทำใจดีๆ เข้าไว้ วันพรุ่งนี้จะเป็นไงใครจะรู้


สิ่งใดพลั้งสิ่งใดผิดคิดเป็นครู


วันข้างหน้ายังรออยู่สู้ต่อไป


เดินผ่านไปแล้วมีรอยเท้า


ผิดมาแล้วเป็นทางยาวก้าวไม่ไหว


อย่ากลัวเดินอีกก้าวบนทางไกล


รอยเท้าเก่าสอนเราไว้เป็นบทเรียน


หนึ่งหยดน้ำร่วงหล่นบนพื้นหญ้า


ไหลรวมเป็นสาขาสู่แม่น้ำ


รวมทุกสายสู่ท้องทะเลคราม


เหมือนหนึ่งความพยายาม...จะก้าวไกล

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ลดน้ำหนักแบบธรรมชาติ

.ไม่กินข้าวมื้อเย็น วิธีนี้เหมาะจะเป็นบันไดขั้นแรกสู่สูตรต่อๆ ไป โดยในมื้อเช้าและกลางวันสามารถกินได้ตามปกติ เฉพาะมื้อเย็นเท่านั้นที่กินอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ข้าว อาจจะหาจานเปล่ามา 1 ใบ ใส่ผักสดให้เต็มจาน แล้วกินกับกับข้าวไทยๆ อาทิ น้ำพริกปลาทู แกงส้ม แกงเลียง ยำ ลาบ งดกับข้าวมันๆ เช่นผัดผักมันๆ ของทอด และแกงกะทิ2.เลือก 1 วันในสัปดาห์สำหรับงดเนื้อสัตว์ ไขมัน ข้าว แล้วกินแต่ผลไม้อย่างเดียวทั้งวัน เช่น มะละกอสุก3.เปลี่ยนจากการกินเนื้อผลไม้มาเป็นการดื่มน้ำผลไม้วันละชนิด ติดต่อกัน 3 วัน4.อดเพื่อสุขภาพ 10 วัน โดยเริ่มจาก 2 วันแรกกินผลไม้ ต่อจากนั้นอีก 7 วันกินผักและผลไม้สดชนิดต่างๆ จนครบ 10 วัน ซึ่งใน 10 วันนี้ถ้าทำอย่างเข้มงวด น้ำหนักจะหายไปประมาณ 3-4 กิโลกรัม5.กินเนื้อกับผัก โลว์-คาร์บ(Low-Carb) คือกินได้ทุกอย่าง โดยไม่แตะคาร์โบไฮเดรตซึ่งรวมทั้งแป้ง ข้าว และผลไม้ให้น้อยที่สุดและกินผักปริมาณ 2 เท่าของเนื้อตามสูตรนี้แม้ว่าการที่ร่างกายไม่ได้รับพลังงานหลักจากคาร์โบไฮเดรตตามปกติ แต่ส่วนหนึ่งของพลังงานสำรองอาจเป็นโปรตีนจากกล้ามเนื้อ การกินเนื้อกับผักนานๆ จึงอาจส่งผลให้คุณผอมแบบกล้ามเนื้อหย่อนคล้อย จึงจำเป็นต้องรักษามวลกล้ามเนื้อไว้ด้วยการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนไขมันเป็นกล้ามเนื้อได้ นอกจากนี้หากบริหารความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน อย่างการยกเวทไปพร้อมกันด้วย ก็จะช่วยเพิ่มขนาดกล้ามเนื้อให้สวยงามและดูดียิ่งขึ้นด้วย